แชร์

น้ำหนักรถบรรทุกตามกฎหมาย ควรอยู่ที่เท่าไหร่ มีกี่ประเภท

อัพเดทล่าสุด: 20 ก.พ. 2025
48 ผู้เข้าชม

   หลายคนอาจจะเคยเห็นรถบรรทุกที่ถูกจับเพราะบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดที่กฎหมายรถบรรทุกกำหนด ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยบนท้องถนนและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำหนักรถบรรทุกตามกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ คนขับรถ หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่ใช้รถใช้ถนน

   ในบทความนี้ เงินให้ใจจะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทรถบรรทุก น้ำหนักที่กฎหมายกำหนด และเหตุผลสำคัญที่ต้องมีการควบคุมน้ำหนักบรรทุก รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ทำไมต้องควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก?


ก่อนที่จะเจาะลึกเรื่องน้ำหนักรถบรรทุกตามกฎหมาย เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกจึงมีความสำคัญ

1. ป้องกันความเสียหายของถนน : ถนนถูกออกแบบและก่อสร้างให้รองรับน้ำหนักที่จำกัด การบรรทุกเกินพิกัดทำให้ถนนเสียหายเร็วกว่ากำหนด ส่งผลให้ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง เพิ่มภาระงบประมาณของรัฐ

2. เพิ่มความปลอดภัย : รถบรรทุกที่มีน้ำหนักมากเกินไปควบคุมได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การเบรกกะทันหัน หรือการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทั้งต่อตัวรถบรรทุกเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น

3. ลดปัญหาการจราจร : รถบรรทุกที่หนักเกินไปจะเคลื่อนที่ช้า โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีความชันหรือทางโค้ง ส่งผลให้การจราจรติดขัด และอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุจากการแซงที่อันตราย

4. ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว : การบรรทุกเกินพิกัดทำให้รถสึกหรอเร็วขึ้น โดยเฉพาะระบบเบรก ยาง และระบบกันสะเทือน เพิ่มค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและลดอายุการใช้งานของรถ

5. รักษาสิ่งแวดล้อม : รถบรรทุกที่มีน้ำหนักพอเหมาะจะใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประเภทของรถบรรทุกและน้ำหนักตามกฎหมาย


กฎหมายไทยได้กำหนดประเภทรถบรรทุกและน้ำหนักที่สามารถบรรทุกได้ โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามจำนวนล้อและลักษณะการใช้งาน ดังนี้

1. รถบรรทุก 4 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 9.5 ตัน (9,500 กิโลกรัม) เหมาะสำหรับการขนส่งในเมืองและระยะทางใกล้ ขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค พัสดุขนาดเล็กถึงกลาง

2. รถบรรทุก 6 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 15 ตัน (15,000 กิโลกรัม) นิยมใช้ในการขนส่งสินค้าทั่วไปและวัสดุก่อสร้าง ขนส่งวัสดุก่อสร้าง สินค้าอุตสาหกรรมขนาดกลาง

3. รถบรรทุก 10 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 25 ตัน (25,000 กิโลกรัม) เหมาะสำหรับการขนส่งระยะไกลและสินค้าปริมาณมาก ขนส่งสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่

4. รถบรรทุก 12 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 30 ตัน (30,000 กิโลกรัม) ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าหนักและปริมาณมาก ขนส่งวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เครื่องจักรอุตสาหกรรม

5. รถบรรทุก 14 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 35 ตัน (35,000 กิโลกรัม) เหมาะสำหรับการขนส่งวัสดุขนาดใหญ่และหนัก ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ อุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่

6. รถพ่วง 18 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 47 ตัน (47,000 กิโลกรัม) ใช้สำหรับการขนส่งระยะไกลและสินค้าปริมาณมาก ขนส่งสินค้าระหว่างจังหวัด การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์

7. รถพ่วง 20, 22, 24 ล้อ น้ำหนักรวมไม่เกิน 50.5 ตัน (50,500 กิโลกรัม) เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าหนักและปริมาณมากเป็นพิเศษ ขนส่งวัสดุอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การขนส่งเครื่องจักรหนัก

ข้อควรรู้เกี่ยวกับน้ำหนักรถบรรทุ

1. น้ำหนักรวม : หมายถึงน้ำหนักของตัวรถบรรทุกรวมกับน้ำหนักสินค้าที่บรรทุก ซึ่งต้องไม่เกินพิกัดที่กฎหมายรถบรรทุกกำหนดสำหรับรถแต่ละประเภท

2. น้ำหนักลงเพลา : นอกจากน้ำหนักรวม กฎหมายยังกำหนดน้ำหนักลงเพลาสูงสุดสำหรับแต่ละเพลา เพื่อกระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสมและป้องกันความเสียหายต่อถนน โดยทั่วไปน้ำหนักลงเพลาหน้าไม่ควรเกิน 8.5 ตัน และเพลาหลังไม่ควรเกิน 11.5 ตัน

3. การชั่งน้ำหนัก : มีด่านชั่งน้ำหนักตามเส้นทางหลักเพื่อตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุก ซึ่งผู้ประกอบการและคนขับรถควรให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย

4. บทลงโทษ : การบรรทุกเกินพิกัดมีโทษทั้งจำคุกและปรับ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกระทำผิด โดยอาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การปฏิบัติตามกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุก เพื่อให้การขนส่งเป็นไปอย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมายรถบรรทุก ผู้ประกอบการและคนขับรถควรปฏิบัติดังนี้

1. ตรวจสอบน้ำหนักก่อนออกเดินทาง : ใช้เครื่องชั่งที่ได้มาตรฐานเพื่อตรวจสอบน้ำหนักรวมของรถและสินค้า ควรมีการบันทึกน้ำหนักไว้เป็นหลักฐาน

2. กระจายน้ำหนักให้สมดุล : จัดวางสินค้าให้น้ำหนักกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอบนพื้นที่บรรทุก เพื่อลดแรงกดทับที่เกินพิกัดบนเพลาใดเพลาหนึ่ง

3. ใช้อุปกรณ์ยึดตรึงที่เหมาะสม : เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของสินค้าระหว่างการขนส่ง ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ

4. บำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอ : ตรวจสอบสภาพรถ โดยเฉพาะระบบเบรกและช่วงล่าง เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย

5. ฝึกอบรมพนักงานขับรถ : ให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกและเทคนิคการขับขี่อย่างปลอดภัย รวมถึงวิธีการตรวจสอบและรายงานปัญหาที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักบรรทุก

สรุป

    การควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือ ไม่เพียงแต่เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายรถบรรทุก แต่ยังเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน การรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการ คนขับรถ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุก และร่วมมือกันในการพัฒนาระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในสังคม


ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.ngernhaijai.com/article/detail/20241107144813 

บทความอื่นๆ ความรู้ทั่วไป รถบรรทุก ที่น่าสนใจ

 น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น รถบรรทุก ต้องเปลี่ยนตอนไหนบ้าง
 อันตรายขี่มอเตอร์ไซค์ใกล้รถบรรทุก ระวังลมดูด-ลมผลัก
 5 เทคนิคขับรถบรรทุกใหญ่ ให้ปลอดภัยในอุโมงค์มืด
 ความดันลมเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถบรรทุก ?
 รู้หรือไม่? รถบรรทุก มีถึง 9 ประเภท

 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy